เทคนิคและวิธีเข้าประเทศเกาหลี

ประเทศเกาหลีใต้ เป็นประเทศที่คนไทยได้รับสิทธิพิเศษ สามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องทำ VISA และพำนักอยู่ได้นาน 90 วัน นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ค่าครองชีพสูง ส่งผลให้ประชากรได้รับเงินเดือนดี จึงทำให้เกิดปัญหาการค้าแรงงานเถื่อนของคนไทยและประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่นิยมกันมากที่สุดคือการแฝงตัวไปกับคณะทัวร์ ดังนั้นการเข้าหรือออกนอกเมืองต่างๆของประเทศเกาหลีใต้ จึงขึ้น อยู่กับอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองไทยและเกาหลีใต้ ผู้จัดทัวร์ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหรือกระทำการอันใด นอกเหนือจากดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ทางราชการได้ ดังนั้นนักท่องเที่ยวทุกท่านจะต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองด้วยตัวของท่านเอง
วิธีผ่านด่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีเกาหลีง่าย
1. แต่งตัวให้ดูดีและเรียบร้อยที่สุด
ไม่จำเป็นว่าจะต้องใส่เสื้อผ้าราคาแพงนะครับ เพียงเลือกใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับกาลเทศะ อาจจะใส่เหมือนชุดทำงานออฟฟิศแบบวัยรุ่น ไม่ต้องเต็มยศนะครับ เน้นชุดที่เรียบง่ายแต่ดูดี มีเสื้อคลุมติดตัวสักตัว มีเครื่องประดับเล็กน้อยเพื่อทำให้รูปลักษณ์ภายนอกของเราดูมีคุณค่า ก็เพียงพอแล้วครับ
2. เตรียมเอกสารให้พร้อมยื่น
สิ่งที่ทำเป็นจะต้องยื่นกับ ตม. ก็มีเอกสารต่างๆ อันจะทำให้พนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาแล้วเห็นว่ามีน้ำหนักและน่าให้เข้า ประเทศมากที่สุดสำหรับชาวต่างชาติเช่นเรา มีดังนี้ครับ
พาสปอร์ต (Passport) หนังสือเดินทางที่ถูกประทับตราเข้าออกมาแล้วหลายประเทศ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเราได้เป็นอย่างดี หากพาสปอร์ตใครโล่งๆ ว่างเปล่าก็ไม่ต้องตกใจครับ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเราได้
บัตร เข้า/ออก นอกเมือง เป็นบัตรสีฟ้าที่จะต้องกรอกตอนอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ จะมีอยู่ 2 ใบก็คือ บัตรเข้าเมือง กับบัตรออกนอกเมือง เราจะใช้สำหรับออกจากประเทศไทยและเข้าประเทศเกาหลี โดยข้อมูลที่จะต้องกรอกในบัตรก็ง่ายๆ ครับ จำพวกชื่อ นามสกุล วันเกิด ที่อยู่ ลายเซ็นต์ ข้อมูลเที่ยวบิน เป็นต้น แนะนำว่าให้กรอกสองใบไปรวดเดียวเลยครับ จะได้ไม่ต้องยุ่งยากทีหลัง โดยบัตรนี้ทาง ตม. ไทยเขาจะแม็กเย็บติดกับ Passport ให้กับเรา
เพื่อที่เวลายื่น Passport กับ ตม. เกาหลี เอกสารจะได้พร้อมนั่นเอง
E-Ticket หรือเรียกเต็มๆ ว่า Electronic Ticket ตั๋วเครื่องบินอิเล็คทรอนิค จะเป็นแค่เอกสารธรรมดามีชื่อของเราและเที่ยวบิน การมี E-Ticket จะช่วยเพิ่มความสะดวกและป้องกันการทำตั๋วเครื่องบินหายได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องมีตั๋วเครื่องบินหรือเอกสารใดๆ เลยครับ แค่นำ Passport ไปยื่นที่ช่อง Check-in ที่สนามบินขากลับก็สามารถรับตั๋วเครื่องบินที่นั่นได้ทันที สิ่งนี้ล่ะที่จะเป็นเครื่องการันตีได้ว่าเรามาท่องเที่ยว มีเอกสารวันที่บินมาเที่ยว และวันที่จะบินกลับจริง หากเดินทางมากับทัวร์ปกติเขาก็จะมี E-Ticket ให้ทุกคนครับ
เอกสารการมาเที่ยวเป็นหมูคณะ ถ้าใครมาเที่ยวกับที่ทำงานหรือบริษัททัวร์ก็อาจจะได้รับเอกสารแนวๆ นี้ติดตัวด้วย หากใครมาเที่ยวแบบส่วนตัว การพกแผนที่, นิตยสาร, โบว์ชัวร์ กิจกรรมท่องเที่ยวยื่นไปด้วยก็จะดีมากเลยครับ อย่างน้อยก็ให้พนักงานเขารู้ว่าเรามีข้อมูลท่องเที่ยวหรือเป็นนักท่องเที่ยว ตัวจริง
3. พูดภาษาอังกฤษให้ได้บ้างเล็กน้อย
การเดินเข้า ตม. ผิดช่อง, การแต่งกายไม่สุภาพ, การเตรียมเอกสารไม่พร้อม หรือแม้กระทั่งการทำตัวไม่นิ่ง ลนๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณถูกสอบถามครับ ปกติคนที่ดูดีเค้าจะไม่ถามครับ รับเอกสารประทับตรา แล้วก็ผ่านจบ ส่วนคนที่ซวยก็เตรียมคำตอบไว้ดีๆ ครับ ไม่ต้องลน ขอเพียงสื่อสารได้บ้าง สิ่งที่เค้าจะถามก็ไม่ยากครับ ประมาณว่า คุณมาทำไม, จะกลับเมื่อไหร่, พกเงินมาเท่าไร, มีญาติที่นี่ไหม อะไรทำนองนี้ครับ เราก็ตอบเค้าไปตามตรง แต่สิ่งต้องห้ามสำหรับการสื่อสารกับ ตม. คือ ห้ามตอบว่า "I don't khow" ครับ มิเช่นนั้นแล้วชีวิตการมาเที่ยวอาจจะจบลงได้ทันที ถ้ารู้สึกอึดอัด พูดไม่ถูกอย่างไร ผมแนะนำว่าพูดว่า "For Travel" หรือ "Tourist" ไว้ก่อนดีที่สุด
ส่วนใครที่พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ก็ไม่น่ามีปัญหาครับ ผมเองก็งูๆ ปลาๆ แต่สื่อสารได้รู้เรื่องทุกคำเลยไม่มีปัญหา อาจจะมีปัญหาบ้างก็ตรงสำนวนหรือหางเสียงของคนเกาหลี เขาจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยชัดครับ เราต้องฟังดีๆ
คำถามที่ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเกาหลี มักจะสอบถามจากผู้เดินทางเป็นภาษาอังกฤษ โดยส่วนมากมีดังนี้
1. What ’s your name ? (คุณชื่ออะไร)
2. What are you doing ? / What is your work ? (คุณทำงานอะไร)
3. Where do you stay in Thailand ? (คุณพักอยู่ที่ไหนในเมืองไทย)
4. What are you doing in Korea ? (คุณมาทำอะไรที่เกาหลี)
5. How many person/people in your group ? (คณะคุณมากี่คน)
6. How many days ? / How long will you stay here ? (คุณจะมาอยู่กี่วัน)
7. Where do you go ? (คุณจะไปที่ไหนบ้าง)

เตรียมตัวเดินทางไปเกาหลีใต้

1. วีซ่า
• นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเดินทางเข้าเกาหลีใต้ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่ต้องมีหนังสือเดินทาง ( Passport ) ที่มีอายุการใช้งานเหลือมากกว่า 6 เดือน ( นับจากวันเดินทาง ) และพักอยู่ได้นานถึง 90 วัน ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
• เนื่องจากไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า ดังนั้นการอนุญาตให้เข้าเมืองจึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีเป็นผู้พิจารณา
2. เวลา
• เวลาท้องถิ่นของประเทศเกาหลีใต้ เร็วกว่า ประเทศไทย 2 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวควรปรับนาฬิกาของท่าน เพื่อไม่ให้ผิดพลาดการนัดหมาย
3. เงินตรา และ บัตรเครดิต
• ประเทศเกาหลีใต้ใช้เงินสกุล “วอน” ( WON ) ซึ่ง 1,000 วอน จะมีมูลค่าเท่ากับ 32 บาทไทย โดยประมาณ
• บัตรเครดิต เช่น VISA, AMERICAN EXPRESS, DINERS CLUB, MASTER CARD และ JCB เป็นที่ยอมรับกันตามโรงแรมใหญ่ๆ ห้างสรรพสินค้า และภัตตาคารขนาดใหญ่เท่านั้น ซึ่งร้านค้าที่รับจะมีสติ๊กเกอร์ติดบอกไว้ว่ารับบัตรเครดิตชนิดใดได้บ้าง ควรเตรียมเงินสดไปให้พอ เพราะสินค้าที่จะซื้อส่วนใหญ่จะต้องใช้เงินสด
• ตลาดช้อปปิ้งของเกาหลี เช่น ทงแดมุน, เมียงดง, อิเทวอน ใช้ได้เฉพาะเงินวอนเท่านั้น และสามารถต่อรองราคาได้ 10-30 % ส่วนร้านค้าปลอดภาษี ( Duty Free Shop ), ห้างสรรพสินค้า และ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่สามารถต่อรองราคาได้
4. การแลกเงิน
• ควรแลกเงินสด “วอน” ( WON ) ไปจากประเทศไทย หรือแลกเป็นเงิน “ดอลลาร์สหรัฐ” ( USD ) และควรเตรียมล่วงหน้าไว้หลายๆวันก่อนการเดินทาง เพราะบางครั้งอาจหาแลกได้ยาก ซึ่งท่านสามารถแลกได้ที่
COUNTER แลกเงินที่สนามบินเมืองไทย, ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง และ สถาบันแลกเงินที่ได้รับการรับรอง
• ควรแลกเงินสดให้เพียงพอประมาณ 600,000 วอน ( 500 USD ) และควรพกบัตรเครดิตติดตัวไปด้วย ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขอดูเงินหรือบัตรเครดิตที่มีอยู่
5. กระเป๋าเดินทาง
• ควรเป็นแบบหีบที่มีล้อลากทำด้วยวัสดุแข็งแรงทนทาน เนื่องจากบรรจุของได้เยอะ และสะดวกในการขนย้าย
• ถ้าเป็นกระเป๋าแบบใช้รหัส ควรตั้งรหัสไว้ในสมุดบันทึก หรือเอกสารสำคัญที่จะนำติดตัวไปด้วย
• ถ้าเป็นกระเป๋าแบบรูดซิป ควรซื้อกุญแจดอกเล็กๆ ล็อคกระเป๋าเพิ่มเติมด้วย เพื่อกันขโมยหรือกันคนไม่ประสงค์ดีเอาของมาใส่โดยที่เราไม่รู้ไม่เห็น และอย่าลืมเอาลูกกุญแจไปด้วย
• ปกติสายการบินจะกำหนดน้ำหนักของกระเป๋าที่จะฝากไปกับเครื่องบิน (ชั้นทัศนาจร) ท่านละไม่เกิน 20 กก.
• กระเป๋าที่จะหิ้วขึ้นเครื่อง หรือนำติดตัวไประหว่างนั่งเครื่องบินนั้น ไม่ควรจะเป็นใบที่ใหญ่จนเกินไป และมีจำนวนไม่เกิน 1 ใบ เช่น กระเป๋าเป้ หรือ กระเป๋าสะพาย ซึ่งต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 7 กก.
• เนื่องจากทางสายการบินมีกฎออกมาว่า ห้ามผู้โดยสารนำของเหลวทุกชนิดใส่กระเป๋าถือหรือสะพายขึ้นห้องโดยสารเด็ดขาด เว้นแต่จะได้ดำเนินการตามนี้
1.) ของเหลวทุกชนิด ได้แก่ น้ำ, เครื่องดื่ม, ครีม, โลชั่น, ออยส์, น้ำหอม, สเปรย์, เจลใส่ผม, เจลอาบน้ำ, เครื่องสำอางที่เป็นน้ำ, โฟมชนิดต่างๆ, ยาสีฟัน, น้ำยากำจัดกลิ่นตัว และของอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันต้องบรรจุในภาชนะซึ่งมีปริมาณความจุไม่เกิน 100 มิลลิลิตร ( สำหรับภาชนะซึ่งมีปริมาณความจุเกิน 100 มิลลิลิตร จะนำขึ้นเครื่องบินไม่ได้ แม้ว่าจะบรรจุของเหลว, เจล, สเปรย์ หรือวัตถุและสารอื่นๆซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันไว้เพียงเล็กน้อย
2.) ภาชนะที่ใส่ของเหลว, เจล, สเปรย์ หรือวัตถุและสารอื่นๆซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ต้องใส่รวมไว้ในถุงพลาสติกใส ที่มีปริมาณความจุไม่เกิน 1 ลิตร (ประมาณ 20X20 ซม.) และสามารถปิดผนึกได้ (Transparent Re-Sealable Plastic Bag) โดยต้องปิดผนึกปากถุงให้เรียบร้อย
3.) ผู้โดยสารสามารถนำถุงพลาสติกใสขึ้นเครื่องบินได้คนละ 1 ถุง
• ของเหลวที่บรรจุอยู่ในภาชนะซึ่งมีปริมาณความจุเกิน 100 มิลลิลิตร ให้ใส่กระเป๋าใบใหญ่โหลดเข้าใต้เครื่องบินเท่านั้น ยกเว้นได้เฉพาะยาน้ำ กับอาหารเด็กทารก
• ห้ามนำน้ำ หรือ ของเหลวทุกชนิด เข้าสู่บริเวณ GATE หากฝ่าฝืนจะถูกทิ้งทั้งหมด
• อุปกรณ์อัดแก๊ส เช่น ไฟแช็ค, กระป๋องออกซิเจน, กระป๋องสเปรย์ หรือ ปรอท ห้ามนำไปด้วยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าใบใหญ่ที่โหลดลงใต้เครื่อง หรือนำติดตัวขึ้นเครื่องก็ตาม
• ห้ามนำผลไม้, เมล็ดพืช หรือสัตว์ต่างๆ เข้าประเทศเกาหลีอย่างเด็ดขาด
• ของใช้ที่เป็นโลหะมีคม เช่น ช้อน-ส้อม, กรรไกร, มีดโกนหนวด, ตะไบเล็บ หรือคัตเตอร์ อย่าใส่ไว้ในกระเป๋าถือติดตัวโดยเด็ดขาด ให้ใส่ไว้ในกระเป๋าใบใหญ่ที่โหลดลงใต้เครื่องเท่านั้น
• ศุลกากรเกาหลี อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำเหล้าเข้าได้เพียง 1 ขวด, น้ำหอม 2 ออนซ์ และบุหรี่ 1 แถว ส่วนขาออกอิสระไม่จำกัด
• ของรับประทาน, อาหารแห้ง, บะหมี่ หรือ น้ำพริก สามารถนำไปได้ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับระยะเวลาการพำนักในประเทศเกาหลี
6. การจัดกระเป๋า
• โรงแรมส่วนใหญ่ในเกาหลีจะไม่มี แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, แชมพู, กี่โกนหนวด หรือ หมวกคลุมผม ไว้บริการในห้องพัก นักท่องเที่ยวต้องจัดเตรียมไปเอง รวมทั้งผ้าเช็ดตัวด้วย เนื่องจากโรงแรมในเกาหลีจะมีแต่ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ( ไม่สามารถนุ่งได้ ) ส่วนน้ำดื่มในมินิบาร์ที่ติดห่วงบอกราคาไว้ต้องเสียเงิน
• ของทุกชิ้นที่จะนำไปด้วยต้องมีประโยชน์และจำเป็นเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมที่เกาหลีจะไม่มีพนักงานยกกระเป๋าคอยอำนวยความสะดวกให้ นักท่องเที่ยวต้องดูแลสัมภาระของท่านด้วยตัวท่านเอง เช่น นำกระเป๋าขึ้นห้องพักเอง ( ถ้าใช้บริการของพนักงานต้องให้ทิปตามธรรมเนียมปฏิบัติ )
• เคล็ดลับในการจัดกระเป๋าแบบหีบ
1. ควรวางรองเท้าไว้ที่ขอบกระเป๋า ตามด้วยกางเกงขายาว โดยปล่อยขากางเกงไว้นอกกระเป๋า
2. วางเสื้อเชิ้ต เสื้อยืด ตามลงไป ( การม้วนเสื้อผ้า จะทำให้ได้พื้นที่ในการจัดเก็บเพิ่มขึ้น )
3. นำกางเกงที่ปล่อยไว้ข้างนอกมาคลุมเสื้อผ้าทั้งหมด
4. ของกระจุกกระจิกอื่นๆให้แทรกไว้ตามช่องว่างของกระเป๋า
• เคล็ดลับในการจัดกระเป๋าแบบถือ หรือ กระเป๋าสะพาย
1. จัดของที่มีน้ำหนักมากที่สุด ไว้ด้านล่างสุดของกระเป๋า ส่วนของเบาๆควรอยู่ด้านบนสุด
2. การนำเสื้อผ้าใส่ถุงพลาสติก จะทำให้ยับน้อยลง และสามารถแยกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วได้ด้วย
7. เครื่องแต่งกายที่แนะนำ
• ฤดูใบไม้ผลิ ( 10-15 องศาเซลเซียส ) : มี.ค. – พ.ค. แดดร้อนในตอนกลางวัน แต่หนาวในช่วงเช้าและเย็น
1. เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
2. เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หมวกกันแดด
• ฤดูร้อน ( 19-27 องศาเซลเซียส ) : มิ.ย. – ส.ค. อากาศร้อนอบอ้าว แดดแรง และอาจมีฝนตกเล็กน้อย
1. ชุดลำลองที่สวมใส่สบาย เช่น เสื้อเชิ้ตแขนสั้น กางเกงระดับเข่า
2. เสื้อกันฝน หมวก หรือ ร่ม ( ในกรณีที่ฝนตก )
• ฤดูใบไม้ร่วง ( 12-20 องศาเซลเซียส ) : ก.ย. – พ.ย. อากาศเย็น และหนาวตลอดทั้งวัน .
1. เสื้อกันหนาวหนาๆ หรือ สเว็ตเตอร์ ผ้าพันคอ
2. เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
• ฤดูหนาว ( -5-7 องศาเซลเซียส ) : ธ.ค. – ก.พ. อากาศแห้งและหนาวมากตลอดทั้งวัน ลมแรงเล็กน้อย
1. ผ้าพันคอ, ถุงมือ, ถุงเท้า, หมวกไหมพรม ( สำหรับปิดหู )
2. เสื้อกันหนาวแขนยาว กางเกงกันหนาวขายาว ( ลองจอน )
3. โอเวอร์โค้ดยาว 1 ตัว (หรือเสื้อแจ๊คเก็ตขนเป็ดที่ให้ความอุ่น)
4. ลิปมัน และครีมทาผิว เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฤดูกาลนี้
8. รองเท้า
• รองเท้าที่ใช้ในการเดินทางวันแรก ควรสวมรองเท้าหนังหุ้มส้นที่ดูสุภาพ ( ดูดี ) หรือรองเท้าผ้าใบที่สวยงาม
• ระหว่างทัวร์ที่เกาหลีควรสวมรองเท้าผ้าใบที่เดินถนัดหุ้มข้อ หรือรองเท้าหนังที่สวมใส่สบาย เพราะต้องเดินเยอะมาก และควรเตรียมครีมนวดเท้าไปด้วย
• ควรเตรียมรองเท้าแตะ หรือรองเท้าที่ใส่สบายไปด้วยเพื่อเป็นการพักเท้า
• ไม่ควรสวมรองเท้าแตะ ในการเดินทางวันแรก เพื่อความสุภาพเรียบร้อยระหว่างผ่านด่านตม.
9. สิ่งที่ควรนำติดตัวเสมอ
• ยาต่างๆได้แก่ ยารักษาโรคประจำตัว, ยาแก้แพ้ ( เมารถ ), ยาแก้ท้องเสีย, ยาลดไข้ หรือตามแพทย์สั่ง
• กระเป๋าสตางค์ และ บัตรเครดิต
• แว่นกันแดด, ครีมกันแดด หรือ ร่มกันแดด
• หนังสือเดินทาง ( Passport ) และ เอกสารสำคัญ
• อุปกรณ์ถ่ายภาพ
10. ห้องพัก
• ส่วนใหญ่โรงแรมในกรุงโซลจะมีระบบ T.V. Paid ( ดูแล้วต้องจ่ายเงิน ) ควรสอบถามจาก พนง.โรงแรม
• สบู่เหลว, ยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, แชมพู, ที่โกนหนวด ถ้าวางนอกห้องน้ำ หรือบนตู้เย็น หากผู้พักนำไปให้จะต้องชำระค่าบริการเพิ่มเติม
• หากต้องการน้ำร้อน สามารถต้มได้จากกาน้ำร้อนที่มีบริการไว้ในห้องพัก
• ระบบแอร์ที่เกาหลี จะเป็นแบบ CENTRAL ควบคุมจากศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว ผู้พักไม่สามารถปรับเองได้
• ช่วงฤดูหนาว, ฤดูใบไม้ผลิ, และ ฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีบริการแอร์ มีแต่บริการฮีตเตอร์ ถ้าร้อนเกินไปสามารถปิดฮีตเตอร์ แล้วเปิดหน้าต่าง หรือช่องลมออกไปเพื่อระบายอากาศได้
11. ปลั๊กไฟ
• ปลั๊กไฟที่เกาหลีส่วนใหญ่จะเป็นแบบ 2 ตา ขากลม ( มีสายดิน ) ควรเตรียมปลั๊กแปลง ( Adapter ) ไปด้วย
• หากต้องการนำอุปกรณ์ไฟฟ้าจากเมืองไทยไปใช้ ควรเตรียมปลั๊กพ่วงไปด้วย หากต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชิ้น
12. การใช้โทรศัพท์มือถือ
• ประเทศเกาหลีไม่ได้ใช้ระบบ SIM CARD เหมือนเมืองไทย ดังนั้นหากท่านต้องการใช้โทรศัพท์มือถือ สามารถซื้อเครื่องที่เกาหลีได้เลย แต่จะไม่สามารถนำกลับมาใช้ที่เมืองไทยได้ เพราะเบอร์และระบบการใช้งานนั้นแตกต่างกัน
• หากต้องการนำโทรศัพท์มือถือของท่านไปใช้ที่เกาหลี จะต้องขอเปิดระบบ ROMING ที่ศูนย์การให้บริการของเครือข่ายนั้นๆ ( DTAC, GSM, TRUE ) ก่อนออกเดินทาง และสามารถไปขอเช่าเครื่องได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนออกเดินทาง โดยมีค่าใช้จ่ายในการขอเช่าเครื่องจากเจ้าของระบบตามเงื่อนไข
ติดต่อ : GSM โทร. 02-271-9000 , DTAC โทร. 02-202-7000 , TRUE โทร. 1331
• หากต้องการโทรกลับมาเมืองไทย เพื่อความสะดวกท่านสามารถซื้อบัตรโทรศัพท์ที่มีขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือโรงแรมได้ โดยราคาจะอยู่ที่ 5,000 - 10,000 วอน
วิธีใช้ : กด 001 – 66 – ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์ที่ตัดหมายเลข 0 ข้างหน้าออก
13. อาหาร
• หากท่านมีปัญหาเรื่องอาหารกรุณาแจ้งบริษัทล่วงหน้า เช่น ไม่ทานเนื้อสัตว์ หรือ แพ้อาหารทะเล เป็นต้น
• อาหารและเครื่องดื่มที่ท่านสั่งพิเศษระหว่างรับประทาน กรุณาชำระเองเมื่อท่านสั่งเพิ่ม
• อาหารเกาหลี โดยทั่วไปมักจะเป็นอาหารทานเพื่อโภชนาการและสุขภาพ จะไม่ออกรสจัด และมักจะเป็นการทานแบบแบ่งปัน คือ 1 ชุดต่อ 4 - 5 ท่าน และมีเครื่องเคียงแบบต่าง ๆ พร้อมข้าวสวย และน้ำซุป
14. น้ำดื่ม
• น้ำดื่มที่ขายโดยทั่วไปในเกาหลีจะเป็นน้ำแร่ ราคาประมาณ 600 - 2,000 วอน ( ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และขนาด )
• น้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้โดยทั่วไป ราคาประมาณ 2,500 - 3,000 วอน ( ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ขนาด และส่วนผสม )
• เบียร์ ราคาประมาณ 4,000 - 5,500 วอน ( ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และขนาด )
15. รถแท็กซี่
• แบบธรรมดา คันสีขาว ค่าโดยสารเริ่มที่ 1,900 วอน ( 2 กม. แรก ) คนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และมีการกรียกเก็บเพิ่มขึ้นในช่วงเที่ยงคืนถึงตีสี่ 20%
• แบบหรูหรา คันสีดำ มีป้ายสีเหลืองข้างบน และมีคำว่า “DELUXE TAXI” เขียนอยู่ด้านข้าง รถแบบนี้มีที่นั่งกว้างกว่าแบบธรรมดา และมาตรฐานสูง ค่าโดยสารเริ่มที่ 4,500 วอน ( 3 กม. แรก ) คนขับพูดภาษาอังกฤษได้ และไม่มีการเรียกเก็บเงินเพิ่มในตอนกลางคืนดึกๆ
• ควรพกนามบัตร และ โบรชัวร์โรงแรมติดตัวไว้ด้วย
16. ห้องน้ำ และที่จอดรถ
• ห้องน้ำโดยทั่วไปให้บริการฟรี ทั้งในที่สาธารณะ, ใกล้ลานจอดรถ, ร้านค้า และโรงแรม
17. ภาษา
• ประเทศเกาหลี ใช้ภาษาเกาหลีเป็นภาษากลาง ส่วนภาษาอังกฤษจะใช้ได้น้อยมาก ใบส่วนที่มีการซื้อขาย สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วชาวเกาหลีจะใช้ภาษาเกาหลีและไม่นิยมสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ
18. การให้ทิป
• ประเทศเกาหลีให้ความสำคัญกับการให้ทิปมาก โดยปกติร้านอาหารและโรงแรมจะไม่มีบริการอำนวยความสะดวก ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องดูแลจัดการด้วยตัวเองทุกอย่าง เช่น นำกระเป๋าขึ้นห้องพักเอง ฯลฯ ดังนั้นหากให้พนักงานของโรงแรมยกกระเป๋าให้ จะต้องทิปให้เค้าตามธรรมเนียม
• พนักงานขับรถ, ไกด์ท้องถิ่น และ หัวหน้าทัวร์ ที่อำนวยความสะดวกระหว่างการเดินทาง ถ้าหากพวกเขาน่ารัก และบริการได้เป็นที่น่าพอใจ ก็ควรจะทิปให้เขาเป็นกำลังน้ำใจ ปกติธรรมเนียมในการให้ทิปจะอยู่ที่ 15,000 วอน/คน/ทริป ( เพื่อความสะดวก ควรทิปเป็นธนบัตร )

ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน

ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน (인천국제공항) ตั้งอยู่ที่เกาะยางจอง เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงโซล โดยรองรับการเป็นท่าอากาศยานหลักของเกาหลีใต้ และสายการบินแห่งชาติอย่างโคเรียนแอร์ รวมทั้งเอเชียน่าแอร์ไลน์ และคาร์โก360 แทนที่ท่าอากาศยานกิมโป (เดิมคือท่าอากาศยานนานาชาติกิโป) นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2544 เป็นต้นมา อินชอนยังได้รับการยอมรับจากสกายแทร็ก ว่าเป็นท่าอากาศยานระดับ 5 ดาว ร่วมกันกับชางงีของสิงคโปร์ และฮ่องกงของจีน ใน พ.ศ. 2552 ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนได้รับการลงคะแนนให้เป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานแห่งนี้มีสายการบินให้บริการมากกว่า 69 สาย โดยสายการบินที่มีจำนวนผู้โดยสารมากที่สุดคือ โกเรียนแอร์ ตามมาด้วยเอเชียนาแอร์ไลน์

ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ

สถานะเที่ยวบินของสนามบินสุวรรณภูมิ
Arrival 
Arrival            Departure
เที่ยวบินขาเข้า                        เที่ยวบินขาออก

ถ้าใครเคยไปใช้บริการที่สนามบินดอนเมือง คงยังจำได้ว่าที่นั่นจะมีอาคารผู้โดยสารกันหลายอาคาร ถ้าเราจะบินในประเทศก็จะต้องไปที่อาคารภายในประเทศ ส่วนถ้าจะเดินทางไปต่างประเทศกัน ก็มีอาคารระหว่างประเทศที่ยังแบ่งเป็นอาคาร 1 กับอาคาร 2 อีก

แต่ที่สนาม บินสุวรรณภูมิ เขาออกแบบให้มีอาคารผู้โดยสารเป็นหลังเดียว อยู่รวมกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพียงแต่ว่าจะแบ่งกันข้างในอีกที อย่างถ้าจะเดินทางในประเทศก็จะใช้อาคาร รวมทั้งทางขึ้นเครื่องทางฝั่งซ้ายเป็นหลัก

การเดินทาง เส้นทางเข้า-ออก

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีระบบถนนและรถไฟฟ้าเข้าออกทั้งหมด 6 เส้นทาง คือ

ทิศเหนือ :
เป็นถนนยกระดับขนาด 8 ช่องจราจร จากถนนกรุงเทพ-ชลบุรีสายใหม่ เข้าสู่อาคารผู้โดยสาร
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ :
เป็นถนนขนาด 6 ช่อง เชื่อมกับทางยกระดับจากถนนร่มเกล้าและถนนกิ่งแก้ว
ทิศใต้ :
เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร เชื่อมกับถนนบางนา-ตราด และทางด่วนบูรพาวิถี
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ :
เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร เชื่อมกับถนนอ่อนนุช
ทิศตะวันตก :
เป็นถนนขนาด 4 ช่องทางจราจร เชื่อกับถนนกิ่งแก้ว

** รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายพญาไท – มักกะสัน – สุวรรณภูมิ วิ่งเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร มีสถานีรถไฟฟ้าใต้อาคารผู้โดยสาร 

เพราะงั้นเวลามาเช็คอินขึ้นเครื่องสำหรับเดินทางในประเทศ ก็ให้รถมาส่งลงกันที่แถว ๆ ประตู 2 ที่ชั้น 4 ที่เป็นชั้นของผู้โดยสารขาออก

เข้ามาข้างในอาคารแล้ว ก็มาเช็คอินที่เคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินที่จะเดินทางกัน ปกติเขาก็จะบอกเอาไว้ในตั๋วว่า จะต้องไปเช็คอินที่แถวตัวอักษรอะไร จะมีเรียงกันไปตั้งแต่ A/B C/D ไปเรื่อย เพราะงั้นมาถึงแล้วก็มองหาป้ายบอกแถวเช็คอินที่อย่างนี้ไว้เลย

แต่ อย่างที่รู้กันว่าสนามบินสุวรรณภูมิของเราเนี่ยกว้างขวางใหญ่โตมาก ถ้าไม่อยากจะเดิมกันอ่วมตั้งแต่เริ่มต้น ก็ให้รถมาส่งให้ตรงประตูที่ใกล้กับเคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินที่เราจะไป ก็น่าจะดี

สังเกตว่าด้านหน้าอาคารตรงที่รถจะมาส่งลง เขาจะมีป้ายบอกเอาไว้ให้ว่าเข้าประตูนี้ไปแล้วจะไปเจอเคาน์เตอร์ของสายการบินอะไรบ้าง

ข้อมูลสำหรับผู้โดยสารขาออก

ส่วน บริการผู้โดยสารขาออกตั้งอยู่ที่ อาคารผู้โดยสาร ชั้น 4 ประกอบด้วย พื้นที่บริการผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีเคาน์เตอร์ตรวจบัตรโดยสารจำนวน 10 เกาะ (Island) รวมมีเช็คอินเคาน์เตอร์ทั้งหมด 460 เคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นเคาน์เตอร์สำหรับผู้โดยสารที่ไม่มีกระเป๋า 100 เคาน์เตอร์นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่บริการผู้โดยสารพรีเมี่ยมของการบินไทยจุดตรวจหนังสือเดินทาง เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ท่าอากาศยานบูธของสายการบิน บริการติดตามสัมภาระ และมีบันไดเลื่อนขึ้นสู่ภัตตาคาร ชั้น 6
ผู้โดยสารขาออก สามารถให้รถไปส่งที่ ชานชาลาหน้าอาคารหรือจอดรถไว้ที่อาคารจอดรถ ซึ่งจะมีทางเดินเชื่อมกับอาคารผู้โดยสาร ชั้น 3 เพื่อขึ้นไปชั้น 4 ภายในโถงผู้โดยสารขาออก

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ
    เมื่อเข้าสู่โถงผู้โดยสารขาออกชั้น 4 ส่วนระหว่างประเทศแล้ว ผู้โดยสารเช็คอินได้ที่ เคาน์เตอร์เกาะ 4-10 จากนั้นผ่านการตรวจหนังสือเดินทางและศุลกากร ก่อนเข้าสู่ อาคารเทียบเครื่องบิน D ซึ่งมีสะพานเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน D จำนวน 2 แห่ง
    ภายในอาคารเทียบเครื่องบิน D ชั้น 4 จะมีร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งผู้โดยสารสามารถซื้อสินค้าได้ระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน จากนั้น จะต้องลงไปที่แนวทางเดินชั้น 3 ก่อนไปที่ประตูขึ้นเครื่องบิน (Gate) ของอาคารเทียบเครื่องบินต่าง ๆ และเมื่อถึงประตูขึ้นเครื่อง (Gate) ที่ต้องการผู้โดยสารจะต้องเดินลงไปที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องพักรอผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง (Hold Room) สำหรับการตรวจค้นผู้โดยสารและสัมภาระติดตัวผู้โดยสารขาออกนั้น จะมีจุดตรวจค้นกระจายอยู่ในพื้นที่ชั้น 3 และชั้น 4 บริเวณ Airside center ภายในอาคารเทียบเครื่องบิน ซึ่งผู้โดยสารทุกคนจะต้องผ่านจุดตรวจค้นแห่งนี้
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ
    ผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ต้องไปตรวจบัตรโดยสารที่ เคาน์เตอร์ เกาะ 2-3 จากนั้นจะต้องลงบันไดเลื่อนตรงไปยัง อาคารเทียบเครื่องบินชั้น 2 เพื่อไปยังห้องผู้โดยสารพักรอขึ้นเครื่อง ซึ่งทุกห้องจะมีจุดตรวจค้นตั้งอยู่

***ปกติก็จะต้องมาเช็คอินกัน 2 ชั่วโมงหรือช้าที่สุดต้องไม่น้อยกว่า 45 นาทีก่อนเวลาเครื่องออก

***เช็คอินเสร็จแล้วใช่ว่าจะเอ่อระเหยได้ เวลาเดินทางในตั๋วหมายถึง "เวลาที่เครื่องออกบิน" เพราะงั้นต้องเผื่อเวลาไปรอที่ประตูขึ้น เครื่องก่อนเวลาที่เครื่องออกด้วย อย่างสายการบินนี้เขาเตือนไว้เลยว่า จะปิดประตูขึ้นเครื่อง 15-20 นาทีก่อนเวลาออกเดินทาง จะมีจอแสดงข้อมูลของเที่ยวบินมีติดกระจายไว้ ถึงจะรู้แล้วว่าเครื่องออกกี่โมง ต้องไปขึ้นที่ประตูไหน แต่ก็ควรหมั่นดูไว้หน่อย เผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลง

ข้อมูลสำหรับผู้โดยสารขาเข้า

ส่วนบริการผู้โดยสารขา เข้า ตั้งอยู่ที่ อาคารผู้โดยสารชั้น 2 โดยส่วนภายในประเทศและระหว่างประเทศเป็นพื้นที่เดียวกัน นอกจากนี้ ยังมี Re-check-in counter สำหรับผู้โดยสารที่เปลี่ยนเครื่อง จากเที่ยวบินระหว่างประเทศ มายังเที่ยวบินภายในประเทศ และมีสายพานลำเลียงกระเป๋าทั้งหมด 22 ชุด ซึ่งแบ่งเป็น ผู้โดยสารภายในประเทศ 5 ชุด และผู้โดยสารระหว่างประเทศ 17 ชุด โดยสายพานลำเลียงกระเป๋าชุดสุดท้าย มีความยาวเป็นพิเศษเพื่อรองรับกระเป๋าจากเครื่องบินแอร์บัส A-380

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ
    เครื่องบินจะจอดที่ อาคารเทียบเครื่องบินชั้น 2 จากนั้นผู้โดยสารเข้าสู่ ห้องพักผู้โดยสารขาเข้าชั้น 2 เพื่อตรวจหนังสือเดินทาง ละรอรับกระเป๋าที่สายพาน 6-22 เมื่อได้รับกระเป๋าและผ่านขั้นตอนศุลกากรแล้ว จะเข้าสู่ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า แล้วออกสู่ชานซาลาเพื่อรอขึ้นรถกรณีกรุ๊ปทัวร์ ต้องลงไปชั้น 1 เพื่อขึ้นรถบัส สำหรับผู้ที่มารับผู้โดยสาร มีจุดนัดพบอยู่ที่ชั้น 3
  •  ผู้โดยสารภายในประเทศ
    เครื่อง บินขาเข้าภายในประเทศ จะจอดที่ อาคารเทียบเครื่องบิน ชั้น 2 จากนั้น ผู้โดยสารจะเดินเข้าสู่ ห้องผู้โดยสารขาเข้า ชั้น 2 เพื่อรอรับกระเป๋าบริเวณสายพานลำเลียงที่ 5 และออกสู่ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า
  •  ผู้โดยสารเปลี่ยนลำ (Transfer)
    กรณี ผู้โดยสารเปลี่ยนลำ (Transfer) หลังจากผู้โดยสารออกจากอากาศยาน เข้าสู่ตัวอาคารเทียบเครื่องบินชั้น 2 แล้ว จะต้องเดินไปยัง Airside center ที่ เคาน์เตอร์ให้บริการผู้โดยสารเปลี่ยนลำ เพื่อดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอน ก่อนผ่านขึ้นไปยังชั้น 3 และ ชั้น 4 เพื่อรอผ่านขั้นตอนขาออกโดยปกติต่อไป
  •  ผู้โดยสารผ่าน (Transit)
    สำหรับ กรณี ผู้โดยสารผ่าน (Transit) จะต้องไปยังพื้นที่ให้บริการในส่วนของขาออก โดยผ่านช่องทางที่บริเวณ Airside center ทั้ง 2 ด้านก่อนเข้าสู่กระบวนการของผู้โดยสารขาออก

บริการต่างๆ และสิ่งอำนวยความสะดวก

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมากกว่าที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ พร้อมทั้งยังเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดากรวดเร็วยิ่งขึ้น
*ตรวจคนเข้าเมือง ขาเข้า 130 เคาน์เตอร์ ขาออก 72 เคาน์เตอร์
*ศุลกากร ขาเข้า 26 เคาน์เตอร์ ขาออก 8 เคาน์เตอร์
*สายพานรับกระเป๋า 22 สายพาน
*เคาน์เตอร์ตรวจบัตรโดยสาร 360 เคาน์เตอร์ และ เคาน์เตอร์สำหรับผู้โดยสารที่ไม่มีสัมภาระ สามารถ Check ln ได้รวดเร็ว อีก 100 เคาน์เตอร์
*ทางเลื่อนอัตโนมัติ 107 ชุด
*ลิฟต์ 102 ตัว
*บันไดเลื่อน 83 ตัว
* ทางลาดเลื่อนอัตโนมัติ 18 ชุด

รายละเอียดภายใน

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันได้แก่
1. ระบบทางวิ่ง ทางขับ และลานจอดอากาศยาน
ทางวิ่ง มี 2 เส้น กว้างเส้นละ 60 เมตร ยาว 3,700 เมตร และ 4,000 เมตร ห่างกัน 2,200 เมตร มีทางขับขนานกับทางวิ่งทั้ง 2 เส้น ให้บริการขึ้น-ลง ของอากาศยานได้พร้อมกัน และเมื่อพัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว จะมีทางวิ่งทั้งหมด 4 เส้น เป็นทางวิ่งข้างละ 2 เส้นขนานกัน หลุมจอดอากาศยาน มีจำนวน 120 หลุมจอด (จอดประชิดอาคาร 51 หลุมจอด และจอดระยะไกลอีก 69 หลุมจอด) ในจำนวนนี้มีการเตรียมหลุมจอดอากาศยานขนาดใหญ่ไว้ด้วย จำนวน 5 หลุมจอด
2. อาคารผู้โดยสาร
เป็นอาคารเดี่ยว มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 563,000 ตารางเมตร อยู่ทางทิศเหนือของท่าอากาศยานรองรับผู้โดยสารได้ 45 ล้านคนต่อปี ภายในอาคารครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น จุดตรวจบัตรโดยสาร 360 จุด จุดตรวจหนังสือเดินทางขาเข้า 124 จุด ขาออก 72 จุด โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบ 100% Hold Baggage In-line Screening System นอกจากนี้ยังมีสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนอยู่ใต้อาคารอีกด้วย
3. อาคารจอดรถ
มี 2 อาคาร แต่ละอาคารสูง 5 ชั้น เชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสาร สามารถรองรับรถยนต์ได้ถึง 5,000 คัน นอกจากนี้ยังมีที่จอดรถบริเวณอื่นๆ รวมทั้งหมดกว่า 15,677 คัน
4. ระบบสาธารณูปโภค
ระบบป้องกันน้ำท่วม มีการสร้างเขื่อนดินสูง 3.5 เมตร กว้าง 70 เมตร โดยรอบพื้นที่ท่าอากาศยาน และมีอ่างเก็บน้ำภายใน 6 แห่ง ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้ 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตร
ระบบน้ำประปา เชื่อมต่อกับระบบประปาของการประปานครหลวง และมีถังน้ำประปาสำรองขนาด 40,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสามารถสำรองน้ำประปาไว้ใช้ได้ 2 วัน สถานีแปลงไฟฟ้าย่อย เป็นสถานีแปลงไฟฟ้าเพื่อลดแรงดันไฟฟ้าจาก 115 กิโลโวลท์ ให้เหลือ 24 กิโลโวลท์ มีจำนวน 2 สถานี เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้แก่ทุกระบบภายในท่าอากาศยาน
ระบบบำบัดน้ำเสีย สามารถบำบัดน้ำเสียได้ 16,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน / ระบบจัดเก็บกากของเสีย สามารถกำจัดกากของเสียได้ประมาณ 100 ตันต่อวัน
5. ระบบบริการคลังสินค้า
มีพื้นที่ให้บริการประมาณ 568,000 ตารางเมตร และมีการให้บริการแบบเขตปลอดพิธีการศุลกากร (Free Zone) ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งรองรับสินค้าได้ 3 ล้านตันต่อปี
6. ระบบโภชนาการ
สามารถผลิตอาหารให้แก่สายการบินต่างๆ ได้ 65,000 ชุดต่อวัน
7. โรงซ่อมบำรุงอากาศยาน
มีจำนวน 2 โรง ซึ่งสามารถจอดอากาศยานขนาดใหญ่ A380 ได้
8. ศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ
มีหอบังคับการบินที่สูงที่สุดในโลก 132 เมตร พร้อมระบบการนำร่องอากาศยานที่ทันสมัย
9. โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
อยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารในระยะแรก มีจำนวน 600 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

**นอกจากนี้ภายในท่าอากาศยาน จะมีการบริการต่างๆ มากมาย เช่น ศูนย์บริการรถเช่า ร้านค้า ภัตตาคาร สถานีเติมน้ำมัน ฯลฯ

ที่สุดของสุวรรณภูมิ

  • อาคารผู้โดยสาร (Main Terminal) : ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีพื้นที่ 563,000 ตารางเมตร ใหญ่กว่าสนามบินของฮ่องกงประมาณ 10,000 ตารางเมตร
  • หอวิทยุการบินสูงที่สุดในโลก : ด้วยความสูง 132 ม. สูงกว่าหอวิทยุการบินของมาเลเซียถึง 10 ม. พร้อมด้วยเทคโนโลยีการให้บริการจราจรทางอากาศที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง
  • โรงแรมหน้าสนามบิน มีห้องพัก 600 ห้อง มีล็อบบี้ใหญ่ที่สุดในโลก : เนื่องจากด้านล่าง เป็นสถานีรถไฟฟ้า Airport Link

เบอร์โทรที่สำคัญสำหรับติดต่อ

Suvarnabhumi Airport Call center   0-2132-1888

Help Desk                                   0-2132-3888

Flights Information                        0-2312-0000